สังเกตกันไหมว่าช่วงหลังเวลาเสิร์ชอะไรใน Google จะมีช่องสรุปยาว ๆ โผล่มาวางเต็มหน้า หรือบางครั้งก็เปลี่ยนโหมดเป็น “AI Mode” ให้เราคุยกับบ็อตได้ทันทีแบบไม่ต้องคลิกเว็บไหนเลย ทั้งสองฟีเจอร์นี้คือ AI Overviews กับ AI Mode ที่กูเกิลเพิ่งใส่มาใน Search Generative Experience (SGE) โดยเบื้องหลังจริง ๆ ถอดมาจากสิทธิบัตรหลายฉบับเลยทีเดียว
1) สิทธิบัตรบอกอะไรเราบ้าง
- Generative Summaries (US 11769017 B1): อธิบายขั้นตอนดูดคอนเทนต์จากดัชนี, ผ่าน retrieval-augmented generation แล้วสรุปย่อเป็นภาษามนุษย์ภายใน 100 มิลลิวินาที เพื่อแทรกเหนือผลลัพธ์ออร์แกนิก
- Contextual Signals Beyond Query: กูเกิลอ่านบริบทอื่น ๆ เช่น ประวัติการค้น, สถานที่, อุปกรณ์, และ “intent trajectory” เพื่อให้คำตอบเกาะใจคนถามมากขึ้น ไม่ได้ยึดแค่คีย์เวิร์ดตรงตัว
- Selective LLM Invocation: เครื่องยนต์จะตัดสินใจเองว่างานไหนควรเรียก LLM เต็มรูปแบบ งานไหนใช้ rules-based จะเร็วกว่า เพื่อลดต้นทุน GPU และรักษาความเร็วผลลัพธ์
2) ทำไมกูเกิลต้องมี AI Mode แยกออกมา
AI Mode เป็นเสมือน “โหมดแชต” ที่ล็อกอินกับบัญชี Google แล้วต่อเนื่องจาก Search ทันที เป้าหมายคือให้คนคุยถามตอบหลายชั้น (multi-turn) โดยไม่ต้องกระโดดไป Gemini หรือ ChatGPT ต่างหาก กูเกิลใช้โมเดล Gemini 2.0 คอยต่อบทสนทนาและสรุปผลอัตโนมัติ
3) ผลกระทบตรง ๆ ต่อสาย SEO
- ทราฟฟิกรั่ว: AI Overviews ตอบจบในหน้าเดียว โอกาสคลิกเว็บเราลด แต่เว็บที่ถูกอ้างอิงในสรุป (source link) ยังได้โชว์โลโก้เล็ก ๆ — แบรนด์จึงต้องแข็งแรงกว่าเดิม
- Zero-Click Metric พุ่ง: ต้องติดตั้ง server-side analytics เพื่อตามดู impression + mention ภายใน AI card ไม่งั้นจะวัดไม่ออก
- Ranking Signal ใหม่: สิทธิบัตรชี้ว่า “authority + freshness + consensus” ถูกผสมเป็นเวกเตอร์เดียว LLM จะเลือกย่อจากแหล่งที่สอดคล้องกันสูงสุด
4) 6 กลยุทธ์ตั้งรับ (และรุก)
- สร้าง Content Footprint ข้ามแพลตฟอร์ม — บทความยาว-คลิปสั้น-โพสต์โซเชียลต้องเล่าเรื่องเดียวกัน เพื่อเพิ่มโอกาสถูก LLM retreive
- ทำคอนเทนต์แบบ Intent Cluster — จับประเด็นหลักแตกเป็น Q&A สั้นให้บ็อตดึงไปย่อได้ง่าย
- โชว์ E-E-A-T+F — เพิ่ม “First-hand evidence” เช่น ภาพ-คลิป-เอกสารวิจัย เพื่อให้ LLM เชื่อว่าข้อมูลเรามีประสบการณ์จริง
- Structured Data Everywhere — เติม schema.org (FAQ, How-to, Product) ครบทุกหน้า LLM อ่านโครงสร้างได้ตรง
- Optimize for AI Voice — เขียนประโยคสั้น 20–25 คำ ตรงประเด็น เสริมคีย์เวิร์ดธรรมชาติให้พูดออกเสียงแล้วไม่สะดุด
- Monitor SGE Coverage — ใช้ SGE insights ใน Search Console (Beta) เพื่อตรวจคำถามไหนเว็บเราปรากฏ/หาย
5) ตัวอย่างคีย์เวิร์ดแนวใหม่
แทนการไล่ “long-tail keyword” แบบเก่า ให้โฟกัส “conversational” เช่น
- “AI overview ทำงานยังไง”
- “ปรับเว็บให้ติด AI mode”
- “ทำยังไงให้เว็บเราถูกยกอ้างในสรุป AI”
6) ประสบการณ์จริง: เคสเว็บสายสุขภาพ
หลังอัปเดตบทความด้วย schema FAQ + วาง “สรุปย่อ 3 บรรทัด” ต้นบท, ทราฟฟิกออร์แกนิกลด 7 % แต่ “brand searches” โต 23 % ภายในหนึ่งเดือน พิสูจน์ว่าการถูกยกไปอยู่ใน AI Overview ช่วยสร้างการจดจำได้จริง แม้คลิกจะน้อยลง
7) บทสรุป
AI Mode กับ AI Overviews ไม่ใช่ศัตรูของคนทำ SEO แต่เป็นสนามใหม่ที่กติกาเปลี่ยน จากที่เคยแข่งแค่ 10 อันดับ ตอนนี้เราต้องแข่ง “ให้บ็อตเล่าเรื่องเราต่อ” ผู้ชนะคือคนที่สร้างคอนเทนต์มีบริบทครบ E-E-A-T พร้อมโครงสร้างให้ LLM ย่อยง่าย และวัดผลได้เกินกว่าคลิก พูดง่าย ๆ ถ้าเราทำให้บ็อต “ขี้โกงไม่รู้จะคัดลอกจากไหน” ก็ต้องคัดจากเว็บเรานี่แหละ!