Elliott Wave คืออะไร? ทำไมมันถึงสะท้อน ‘ความรู้สึก’ ของคนทั้งตลาดได้?
Elliott Wave หรือ ‘ทฤษฎีคลื่นของ Elliott’ ไม่ได้เป็นแค่การลากเส้นวิเคราะห์กราฟ แต่มันคือการถอดรหัส “จิตวิทยามวลชน” ในตลาดการเงินครับ! “Ralph Nelson Elliott” นักบัญชีผู้หลงใหลในตลาดหุ้น ได้ค้นพบว่าราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, Forex, Bitcoin หรือแม้แต่ทองคำ ไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่มันจะวนไปตามวงจรของอารมณ์คนในตลาด: เริ่มจากความสงสัย → ความมั่นใจ → ความตื่นเต้นสุดขีด → ความกลัว → การยอมแพ้ แล้วก็กลับไปเริ่มวงจรใหม่
วงจรทางอารมณ์เหล่านี้แหละที่ทำให้เกิด “รูปแบบคลื่น (Wave Pattern)” ซ้ำ ๆ ได้เกือบจะทุกตลาด และที่เจ๋งสุดคือมันเป็น “Fractal” (แฟร็กทัล) หมายความว่าโครงสร้างคลื่นนี้มันเหมือนกันหมดไม่ว่าจะดูบนกราฟรายวัน รายชั่วโมง หรือรายนาที! คลื่นลูกใหญ่ก็ประกอบด้วยคลื่นลูกย่อย ๆ และคลื่นย่อยหลาย ๆ อันก็รวมกันเป็นคลื่นที่ใหญ่ขึ้นได้อีก
โครงสร้างหลักของ Elliott Wave คือ “8 คลื่น” แบ่งเป็นชุด “5-3” ที่วนซ้ำไปมา:
- ช่วงไปตามเทรนด์หลัก (Impulse Wave): 5 คลื่น → คลื่น 1-2-3-4-5 (เหมือนเวลาที่เราตั้งใจพุ่งไปข้างหน้า)
- ช่วงพัก/ย่อสวนเทรนด์ (Corrective Wave): 3 คลื่น → คลื่น A-B-C (เหมือนช่วงที่ต้องหยุดพักหายใจ หรือถอยหลังเล็กน้อย)
1. แกะรอย 5 คลื่นขับเคลื่อน (Impulse Wave: 1-2-3-4-5)
ลองนึกภาพตลาดขาขึ้นสุดปัง (Bull Market) ที่มักจะตามโครงสร้าง 1-2-3-4-5:
| คลื่นที่ | อารมณ์ตลาดหลัก | ลักษณะการเคลื่อนที่ | ทริคการสังเกต |
| คลื่น 1 | ความสงสัย/การเริ่มต้น | มีการเคลื่อนไหวขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อว่าเป็นของจริง อาจมีวอลุ่มน้อย | มักจะสั้นที่สุดในบรรดา 1, 3, 5 |
| คลื่น 2 | ความไม่มั่นใจ/ย่อทดสอบ | ย่อลงมาเพื่อทดสอบแรงซื้อ/แรงขายที่เข้ามาตอนคลื่น 1 (ตลาดลังเล) | ห้ามย่อลึกกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 เด็ดขาด! |
| คลื่น 3 | คลื่นพลัง (The Power Wave) | มักจะแข็งแกร่งและยาวที่สุด วอลุ่มสูงสุด เพราะข่าว/กระแสมาหนุน คนเริ่มมั่นใจ | เป็นคลื่นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด (มักจะยาว 1.618 เท่าของคลื่น 1) |
| คลื่น 4 | พักหายใจ/ระบายความร้อน | ย่อ/แกว่งออกข้างเพื่อพักจากแรงซื้อ/ขายมหาศาลของคลื่น 3 | ห้ามลงมาทับพื้นที่ราคาของคลื่น 1! (ยกเว้นรูปแบบพิเศษ) |
| คลื่น 5 | FOMO/จุดจบ | ราคาวิ่งตามความตื่นเต้น/โลภสุดท้าย (FOMO) แต่แรงเริ่มแผ่ว วอลุ่มอาจไม่สูงเท่าคลื่น 3 | มักเจอ Divergence (ราคาทำ New High แต่ RSI/MACD ไม่ทำตาม) |
🔥 กฎเหล็ก 3 ข้อ (The Classic Rules) ที่ต้องจำให้ขึ้นใจ:
- คลื่น 2 ห้ามย่อลึกเกินจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 (ไม่งั้นเทรนด์หลักคงไม่จริง)
- คลื่น 3 ห้ามสั้นที่สุด ในบรรดาคลื่นขับเคลื่อน (1, 3, 5) (คลื่น 3 ต้องแสดงพลัง!)
- คลื่น 4 ห้ามทับพื้นที่ราคาของคลื่น 1 (ยกเว้นในกรณีที่เกิด “Diagonal Triangle” ซึ่งเป็นรูปแบบพิเศษมากๆ)
กฎเหล่านี้ช่วยให้เรา “คัดกรองการนับคลื่นที่ผิด” ได้ตั้งแต่แรก ทำให้การวิเคราะห์ของเรามีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่การมโนเอาเอง
2. Corrective Wave: 3 คลื่นปรับฐาน (A-B-C) ที่ ‘หลอกเก่ง’
เมื่อจบชุด 1-2-3-4-5 แล้ว ตลาดมักจะเข้าสู่ช่วงพักฐาน (Correction) ซึ่งเป็นช่วงที่เทรดยากและน่าเบื่อที่สุด เพราะมันไม่มีแรงเหวี่ยงที่ชัดเจนเหมือนตอน Impulse รูปแบบ A-B-C ก็ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มีเป็นสิบ! ซึ่งหลักๆ ที่เราเห็นบ่อยๆ คือ:
- Zigzag (5-3-5): เป็นการย่อที่ค่อนข้างแรง ลง-เด้ง-ลง โดยที่คลื่น A และ C มักจะมีความแรง คล้ายกับลงมาในช่องทางที่ชัน
- Flat (3-3-5): เป็นการย่อแบบออกข้าง (Sideway) คลื่น A ย่อไม่แรง คลื่น B เด้งกลับเกือบถึงจุดเดิม (อาจจะเลยไปหน่อยก็ได้) และคลื่น C ค่อยลงอีกที มักเกิดในตลาดที่มีความผันผวนต่ำ
- Triangle (3-3-3-3-3): เป็นการบีบตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม แกว่งแคบลงเรื่อยๆ ก่อนจะเลือกทิศทางไปตามเทรนด์หลัก
- Complex Correction: พวก W-X-Y หรือ W-X-Y-X-Z เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน ย่อแล้วย่ออีก จนเทรดเดอร์มือใหม่เริ่มถามว่า “นี่มันจบการย่อหรือยังเนี่ย?”
💡 ทริคสำคัญ: ช่วง A-B-C เป็นช่วงพักฐานหรือสวนเทรนด์หลัก อย่ารีบเข้าเทรดด้วยขนาดใหญ่ (Volume) หากยังไม่เห็นสัญญาณการจบ Correction ที่ชัดเจน เพราะมันมักจะเหวี่ยงขึ้นลงเพื่อ “ล้างพอร์ต” คนที่รีบเข้า
3. ทำไม Elliott Wave ถึงเป็นมากกว่าการลากเส้น?
Elliott Wave ช่วยให้เรามี “แผนที่” ที่สามารถตอบคำถามสำคัญในการเทรดได้ 3 ข้อ คือ:
- สถานะตลาด (Where are we?): ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของวงจร? กำลังเริ่มต้นคลื่น 3 ที่ทรงพลัง? อยู่ในช่วง FOMO ของคลื่น 5? หรือกำลังอยู่ในช่วง A-B-C ที่น่าเบื่อ?
- จุดวัดใจ/จุดกลับตัว (Potential Reversal/Support): คลื่นที่ 4 ควรจะย่อไม่ต่ำกว่าโซนคลื่น 1 ถ้ามาถึงโซนนี้แล้วเด้งกลับ ก็เป็นจุดที่น่าสนใจในการหาจังหวะเข้า
- แผนสำรอง (What if I’m wrong?): Elliott Wave สอนให้เรารู้ว่า ถ้าราคาทำผิดกฎ (เช่น คลื่น 4 ลงมาทับคลื่น 1) แปลว่าการนับของเรา “ผิดแน่นอน” ต้องเปลี่ยนแผนทันที (เรียกว่ามี Alternate Count เสมอ)
พูดง่ายๆ คือ Elliott Wave ไม่ได้บอกว่าเราจะทายถูก 100% แต่มันทำให้เรามี “แผน A และ แผน B ที่มีเงื่อนไขยกเลิก (Invalidation Point) ชัดเจน” ซึ่งนี่คือหัวใจของการบริหารความเสี่ยงที่ดีครับ
4. Elliott Wave ไม่ได้มาคนเดียว! (เครื่องมือเสริมที่ต้องใช้คู่กัน)
การนับคลื่นอย่างเดียวเหมือนอ่านตำรา แต่ไม่ดูถนนจริง เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยยืนยันการนับของเราให้คมขึ้นเป็นเท่าตัว:
A. Fibonacci (เพื่อนซี้ที่ขาดไม่ได้)
Fibonacci Sequence ($0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, …$) ถูกใช้เพื่อวัดความน่าจะเป็นของ “ระยะย่อ” และ “ระยะขยาย” ของคลื่น:
- คลื่น 2 มักย่อตัว: ประมาณ 50% – 61.8% ของคลื่น 1 (เป็นโซนวัดใจ)
- คลื่น 3 มักขยายตัว: ไปที่ 1.618 หรือ 2.618 เท่าของคลื่น 1 (แสดงความแข็งแกร่ง)
- คลื่น 4 มักย่อตัวตื้นๆ: ประมาณ 23.6% – 38.2% ของคลื่น 3
- คลื่น A (ใน Correction) มักจะย่อ: 38.2% – 61.8% ของชุด Impulse ก่อนหน้า
💰 ทริคทำเงิน: ถ้าเรานับว่าจบคลื่น 2 แล้ว และราคาย่อมาที่ 61.8% Fibo แล้วมีสัญญาณกลับตัว นั่นคือจุดที่น่าเข้าซื้อเพื่อหวังไปเก็บกำไรใหญ่ในคลื่น 3!
B. Divergence (สัญญาณเตือนปลายเทรนด์)
ปลายคลื่น 5 มักมีอาการอ่อนแรง ซึ่งเราสามารถดูได้จาก Indicator อย่าง RSI หรือ MACD ครับ:
- Bearish Divergence (สัญญาณขาลง): ราคาทำ New High แต่ RSI/MACD กลับทำ High ที่ต่ำลง นั่นแปลว่าแรงซื้อเริ่มหมด และมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ Corrective Wave (A-B-C)
- Bullish Divergence (สัญญาณขาขึ้น): ราคาทำ New Low แต่ RSI/MACD ทำ Low ที่สูงขึ้น นั่นแปลว่าแรงขายเริ่มหมด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่น 1 ใหม่
C. แนวรับแนวต้าน (Support & Resistance) / Market Structure
คลื่นที่นับควรจะสอดคล้องกับโครงสร้างราคาจริง (High/Low) ที่สำคัญ:
- จุดจบคลื่น 4 ควรจะอยู่แถวแนวรับ/แนวต้านสำคัญที่เคยเกิดขึ้น
- การที่คลื่น 3 ทะลุผ่านแนวต้านเก่าได้ เป็นการยืนยันความแข็งแกร่งของคลื่น
- โซนที่ราคาขึ้นไปทำยอดคลื่น 5 มักจะเป็นแนวต้านทางจิตวิทยาหรือแนวต้านใหญ่ก่อนหน้า
5. วิธีฝึกนับคลื่นแบบ “ไม่ปวดหัว” สำหรับมือใหม่
Elliott Wave ดูเหมือนยาก แต่ถ้าฝึกถูกวิธี จะเริ่มสนุกขึ้นครับ:
- เริ่มจาก Time Frame ใหญ่ก่อน: ดูภาพรวมบนกราฟ Day (1D) หรือ 4-Hour (4H) เพื่อระบุว่าตอนนี้เทรนด์หลักเป็นขาขึ้นหรือขาลง แล้วค่อยซูมลงไปใน 1H หรือ 15 นาที เพื่อหาจุดเข้าที่ละเอียดขึ้น
- โฟกัสที่ “Swing” ใหญ่ๆ: หาจุดสูงสุด (Peak) และจุดต่ำสุด (Trough) ที่เห็นได้ชัดเจน อย่าเพิ่งพยายามนับคลื่นย่อยที่ละเอียดมากๆ ตั้งแต่วันแรก
- ใช้กฎเหล็กช่วยกรอง: ตรวจสอบตัวเองเสมอว่าการนับคลื่น 1-2-3-4-5 ของเรา ผิดกฎ 3 ข้อนั้นไหม? ถ้าราคาทำผิดกฎ ให้ลบการนับนั้นทิ้งแล้วเริ่มนับใหม่ทันที
- ทำ “Wave Count Journal”: แคปหน้าจอกราฟที่เรานับคลื่นไว้ บันทึกเหตุผลในการนับ และเขียน “เงื่อนไขยกเลิก” ไว้ด้วย (เช่น “ถ้าราคาลงมาต่ำกว่า $45,000 แปลว่าคลื่น 4 นี้ผิด”) แล้วกลับมาดูผลลัพธ์จริงในสัปดาห์หน้า นี่คือวิธีพัฒนาที่เร็วที่สุด
- จำไว้ว่า “ตลาดไม่จำเป็นต้องเชื่อการนับคลื่นของเรา”: Elliott Wave เป็นเครื่องมือวางแผน ไม่ใช่เครื่องมือทำนาย เราต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) และการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เสมอ แม้จะนับได้สวยงามแค่ไหนก็ตาม
6. ข้อผิดพลาดสุดฮิตที่ทำให้มือใหม่ท้อกับ Elliott Wave
- พยายามนับทุกอย่าง: การพยายามนับคลื่นย่อย คลื่นซ้อนคลื่น ในทุกแท่งเทียน สุดท้ายจะกลายเป็นการนับ “ตามใจฉัน” ไม่ได้นับตามพฤติกรรมตลาดจริง
- ไม่มีแผนสำรอง (Alternate Count): ตลาดมีความเป็นไปได้มากกว่า 1 เสมอ การยึดติดกับ Count เดียวทำให้เราประหลาดใจเมื่อตลาดไม่ไปตามที่เราคิด
- ไม่สนกฎ: การพยายาม “แถ” การนับให้เข้ากับภาพที่เราอยากให้เป็น โดยไม่เคารพกฎเหล็ก 3 ข้อ คือหายนะ
- มองข้ามข่าว: ข่าวใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญ (เช่น การประกาศดอกเบี้ยของ Fed หรือการรายงานงบของ Apple, Google) อาจทำให้คลื่นขยาย (Extension) หรือผิดฟอร์มได้
- ไม่ตั้ง Stop Loss: ต่อให้ Elliott Wave เป็นเครื่องมือที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการคุมความเสี่ยงที่เข้มงวด เมื่อนับผิดแค่ครั้งเดียว พอร์ตก็อาจเสียหายหนักได้
🔥 สรุปแบบคนคุยกัน:
Elliott Wave คือเครื่องมือชั้นยอดในการอ่าน “จังหวะชีวิต” ของตลาดผ่านโครงสร้าง 5-3 ที่สะท้อนอารมณ์คน การใช้ Elliott Wave ทำให้เรามีมุมมองที่ชัดเจนว่าตอนนี้ตลาดน่าจะอยู่ช่วงไหนของวัฏจักร (ต้น/กลาง/ปลาย/พัก) และช่วยให้วางแผนเข้า-ออกได้อย่างมีเหตุผล แต่กุญแจสำคัญคือการ “ฝึกฝน” อย่างสม่ำเสมอ การใช้คู่กับ Fibonacci, Divergence และ แนวรับแนวต้าน รวมถึงการจัดการเงินอย่างเข้มงวด นี่แหละครับคือสูตรที่จะทำให้ Elliott Wave เป็นเครื่องมือทำเงินที่ใช้ได้จริงในมือเรา
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q1: Elliott Wave ใช้ได้กับทุกตลาดจริงไหม?
A: ใช้ได้ครับ ค่อนข้างกว้างมาก เพราะหลักการมันคือ จิตวิทยามวลชน ซึ่งเกิดขึ้นในตลาดที่มีคนซื้อขายจริง แต่ความชัดเจนของคลื่นจะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องและธรรมชาติของสินทรัพย์นั้นๆ ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีโครงสร้างราคาชัดเจน (เช่น คู่เงินหลัก EUR/USD ใน Forex หรือหุ้นใหญ่ๆ ในตลาด SET, NYSE) มักจะนับคลื่นได้ง่ายและน่าเชื่อถือกว่าตลาดที่สภาพคล่องต่ำหรือมีการปั่นราคาได้ง่าย
Q2: มือใหม่ควรเริ่มนับคลื่นจากตรงไหนก่อน?
A: อย่าเพิ่งรีบ! ให้เริ่มจากการหาจุด Swing High/Low ใหญ่ๆ บน Time Frame ใหญ่ (เช่น 4H หรือ 1D) ก่อนครับ แล้วลองนับ 1-2-3-4-5 แบบหยาบๆ เพื่อระบุเทรนด์หลัก จากนั้นค่อยฝึกดูชุด A-B-C ช่วงพักฐาน แล้วใช้ Fibonacci มาวัดดูว่าการย่อตัวเข้าเกณฑ์ไหม การฝึกดูภาพใหญ่จะช่วยให้เราไม่หลงทางไปกับคลื่นย่อยที่ไม่สำคัญ
Q3: ทำไมบางทีนับคลื่นแล้วผิดทางบ่อย และต้องแก้ยังไง?
A: เป็นเรื่องปกติครับ! เพราะ Elliott Wave ไม่ใช่สูตรฟันธง และตลาดมีความเป็นไปได้หลายรูปแบบ (Multiple Scenarios) พร้อมกัน ทางแก้คือ:
- มี Alternate Count (แผนสำรอง) เสมอ: ถ้านับแบบหลักผิด ต้องรู้ทันทีว่าจะเปลี่ยนไปนับแบบไหนต่อ
- เคารพเงื่อนไขยกเลิก: ต้องมี Invalidation Point (เช่น ถ้าราคาหลุดจุดเริ่มต้นคลื่น 1 แปลว่านับ 1-2 ผิด) และทำตามมันอย่างเคร่งครัด
- ใช้ตัวช่วยยืนยัน: ใช้ Fibonacci วัดระยะทาง, ใช้ RSI/MACD Divergence ดูการอ่อนแรงของเทรนด์, และใช้ แนวรับ/แนวต้าน ยืนยันความสมเหตุสมผลของคลื่น

Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.