Search Engine Marketing (SEM) การตลาดออนไลน์

Performance Max 2026: 18 ทริคอัปเดตล่าสุด ใช้รีพอร์ต-ครีเอทีฟคุมแคมเปญให้ฉลาดขึ้น กวาดผลลัพธ์แบบ “incremental gains”

ถ้าปีที่แล้ว Performance Max (PMax) ยังดูเป็น “กล่องดำ” สำหรับหลายแบรนด์ ปี 2026 คือจุดที่เราคุมเกมได้มากขึ้นแบบรู้เรื่อง เพราะ Google ปล่อยทั้งรีพอร์ตใหม่ เครื่องมือครีเอทีฟ และคอนโทรลฝั่งทาร์เก็ตติ้งที่ช่วย “บังคับทิศทาง” ให้อัลกอริทึมไปในทางที่เราอยากให้ไปจริง ๆ ไม่ใช่ปล่อยลากยาวแล้วค่อยตามแก้ภายหลัง บทความนี้สรุปทริคที่ทำได้เลย พร้อมเช็คลิสต์ลงมือแบบเป็นขั้นเป็นตอน โดยอ้างอิงจากอัปเดตล่าสุดของ Google และแนวปฏิบัติที่ผู้เชี่ยวชาญ PPC ใช้อยู่ตอนนี้

อะไรใหม่ใน PMax ที่ต้องใช้ให้เป็น (อัปเดต 2025 → ใช้งานจริงใน 2026)

  1. Channel Performance Report (เบต้า) – แยกผลลัพธ์ตามช่องทาง (Search, Shopping, YouTube, Display, Discover, Gmail, Maps) ช่วยเห็นว่าช่องไหนดันเป้าหมายได้จริง แล้วค่อยปรับโครงสร้าง/ครีเอทีฟให้เข้าทางช่องนั้น ๆ มากขึ้น
  2. Asset Group Reporting – ดูเมตริกสำคัญแบบราย Asset Group พร้อม Top combinations เพื่อรู้ว่าเซ็ตครีเอทีฟไหนเวิร์ก แล้วรีไซเคิลสูตรชนะได้ทันที
  3. Campaign-level Negative Keyword Lists – จัดลิสต์คำไม่เกี่ยวข้องระดับแคมเปญ/ข้ามแคมเปญได้ ช่วยกันงบไหลไปคีย์เวิร์ดไม่ตรงใจแบรนด์ และคุม Brand Suitability ง่ายขึ้น
  4. Search Themes เพิ่มลิมิต – เพิ่มเพดานไอเดียสัญญาณเสิร์ชจาก 25 เป็น 50 ให้ระบบเข้าใจความตั้งใจของผู้ใช้ได้กว้างขึ้น แต่ยังอยู่ในกรอบที่เรากำกับได้
  5. Demographic/Device Exclusions (บางบัญชีเป็นเบต้า) – ตัดช่วงอายุ/เพศ/ดีไวซ์ที่ไม่คุ้มออกได้ แม้จะยังไม่ใช่ “เจาะจงยิง” เต็มรูปแบบ แต่ช่วยกันรั่วชัดเจนเวลาเห็นแพทเทิร์นที่ไม่คุ้มค่า
  6. Final URL Expansion Reporting & Controls – เห็นว่าระบบขยายไปหน้าไหนบ้างและตัดหน้าไม่เกี่ยวข้องออก ลดทราฟฟิกหลุดธีม/ไม่คอนเวิร์ต
  7. New Customer Acquisition Reporting ดีขึ้น – วัดคุณภาพผู้ใช้ใหม่ชัดขึ้น หนุนกลยุทธ์ “โตด้วยลูกค้าใหม่” และการตั้งค่า Customer Acquisition เป้าหมายเฉพาะทางได้แม่นกว่าเดิม

หมายเหตุ: แนวทางทั้งหมดด้านล่างจะ “ผูก” เข้ากับเครื่องมือใหม่พวกนี้ เพื่อให้คุณได้กำไรแบบค่อยเป็นค่อยไป (incremental gains) ไม่ใช่รีดแรงชั่วคราวแล้วทรุด

โครงสร้างแคมเปญที่ชนะในปี 2026

1) เริ่มที่เป้าหมายการวัดผล (Measurement-first)

  • เลือก Conversion ที่เป็น “Primary” ให้สอดคล้องกับเป้าธุรกิจ (เช่น ซื้อจริง/ลีดคุณภาพ ไม่ใช่แค่คลิก)
  • เปิด Enhanced Conversions / อัปเดตการส่งค่าราคา (ค่า order/กำไรขั้นต้น ถ้ามี) เพื่อให้บิดดิ้งเรียนรู้จาก “มูลค่า” แทน “จำนวน”

2) แยกแคมเปญตามเป้าหลัก + งบ + ROAS/tCPA

  • ถ้าเป็นอีคอมเมิร์ซ: แยก “Always-on” กับ “เทศกาล/เปิดตัวสินค้า” ออกจากกัน จะคุมงบและ seasonality ง่าย
  • ถ้าเป็นลีดเจน: แยก “Acquisition” กับ “Re-engagement/Qualify” คนละแคมเปญ วัดคนใหม่กับคนเดิมไม่ปนกัน

3) ดีไซน์ Asset Group แบบ “ธีมเดียวต่อกลุ่ม”

  • แต่ละ Asset Group = 1 ธีม/คอลเลกชัน/เพนพอยต์ (เช่น “ส่งฟรี”, “ของแท้มีการันตี”, “ลดเปลี่ยนฤดูกาล”)
  • ตั้งชื่อให้ค้นง่าย (AG-Theme-Offer-Audience) แล้วใช้ Asset Group Reporting เช็ค Top combinations ทุกสัปดาห์ เพื่อตัดอ่อนเสริมแกร่ง

4) Audience Signals ที่ “ช่วย” ไม่ใช่ “ล็อกแข็ง”

  • ป้อน 1st-party data (ลูกค้าจริง, high-value purchasers) + search themes ที่สะท้อนเจตนา
  • เติม In-market/Custom segments เฉพาะธีม ไม่ยำปนทุกอย่างใน AG เดียว

เวิร์กโฟลว์รีพอร์ต & ออปติไมซ์ (ทำวนทุกสัปดาห์/เดือน)

รายสัปดาห์

  • เปิด Channel Performance Report (เบต้า) ดูว่าช่องไหนดึงคอนเวอร์ชัน/มูลค่าสูง แล้วปรับสัดส่วนครีเอทีฟให้เหมาะกับช่องนั้น (เช่น ถ้า YouTube ทำยอด Assisted ดี เพิ่มวิดีโอตามเพนพอยต์ที่ขายได้จริง)
  • ไล่ Asset Group Reporting: สลับ/หยุด Asset ที่เรตต่ำ เติมครีเอทีฟใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ชุดต่อ AG เพื่อป้อน “อาหารสด” ให้ระบบเรียนรู้ต่อเนื่อง
  • อัปเดต Negative Keyword Lists ระดับแคมเปญ (รวมแบรนด์คู่แข่ง/คำไม่ตรง) ลดงบรั่วทันทีที่เห็นสัญญาณไม่ดีจาก Search Insights

รายเดือน

  • ทบทวน Search Themes (สูงสุด ~50): รวมธีมซ้ำ ตัดธีมไม่เวิร์ก และขยายธีมที่ให้มูลค่าสูงขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่การค้นหาที่ “คุ้ม” จริง ๆ
  • ตรวจ Final URL Expansion: เอาหน้าไม่คอนเวิร์ตออก เพิ่มเพจแลนดิ้งใหม่ที่ตรงกับธีมกำลังปัง
  • สรุป New vs Existing เพื่อวางแผน Customer Acquisition Goal ไตรมาสหน้า (ถ้าสัดส่วนลูกค้าใหม่ไม่โต ปรับออฟเฟอร์/ครีเอทีฟ/ลิสต์ 1P)

ครีเอทีฟคอนโทรล: สูตรทำโฆษณาให้ “เข้าใจระบบ + ถูกใจคน”

  • ใช้ Hook-Benefit-Proof-CTA เป็นโครงสร้างเฮดไลน์/ดีสคริปชัน
  • ทำ “แพ็กครีเอทีฟ” ให้ครบทุกช่อง: สี่เหลี่ยม/แนวนอน/แนวตั้ง + วิดีโอสั้น 6-15 วินาที (ขายเพนพอยต์ + เดโมเร็ว ๆ)
  • เติม Brand cues ชัด ๆ (โลโก้/สี/ฟอนต์/แพ็กช็อต) ให้ระบบเรียนรู้ตัวตนแบรนด์ และลดปัญหาแมตช์ผิดบริบท
  • รีเฟรชสินทรัพย์ทุก 2-4 สัปดาห์ โดยอ้างอิง Top combinations บวกคอมเมนต์จาก Creative Insights/ข้อเสนอแนะภาพอัตโนมัติของ Google

เช็คลิสต์ “กันงบไหล” (ทำแล้วเห็นผลไว)

  • ตั้ง Negative keyword lists กลาง + ลิสต์เฉพาะแคมเปญ (แบรนด์, คำราคา, ฟรี/ถูก ฯลฯ)
  • เปิด Diagnostics/Recommendations เฉพาะที่กระทบ conversion tracking และ feed คุณภาพ (อีคอมฯ) เพื่อไม่ให้ระบบหลงทางนานเกินไป
  • ใช้ Demographic/Device exclusions ถ้าเห็นสัดส่วนสิ้นเปลืองชัดเจน (เช่น ดีไวซ์บางแบบ CPA สูงผิดปกติ)
  • แยก Budget buckets: Always-on, Seasonal Push, Testing เพื่อกันไม่ให้แคมเปญหลักโดนเบียดงบ

Playbook 90 วัน (สำหรับทีมที่อยากเห็น “incremental gains” ต่อเนื่อง)

  • วัน 1-7: เก็บบ้านเรื่องวัดผล/Conversion, สร้างโครงสร้างแคมเปญ + AG ตามธีม, ใส่ Search Themes + Audience Signals พอดี ๆ
  • สัปดาห์ 2-3: เติมครีเอทีฟครบแพ็กทุกรูปแบบ, ตั้ง Negative lists, เปิด Channel Report/Asset Report ติดตามทุกสัปดาห์
  • สัปดาห์ 4-6: ตัด Asset/ธีมไม่คุ้ม, ขยายธีมชนะ, ตัด URL ไม่เวิร์กจาก Final URL expansion
  • สัปดาห์ 7-12: ทดสอบข้อเสนอ (Offer) ใหม่สั้น ๆ, รีเฟรชวิดีโอ/ภาพ, ปรับ ROAS/tCPA ตามคุณภาพสัญญาณและช่องทางที่ชนะ

เคสตัวอย่าง (ย่อ)

  • อีคอมเมิร์ซแฟชั่น: เริ่มด้วย 3 AG = “New-in”, “Best-sellers”, “Seasonal-Sale” เติมวิดีโอ Try-on สั้น ๆ → ใช้ Channel Report เห็นว่า Discover+YouTube ช่วย Assisted เยอะ จึงปั่นครีเอทีฟวิดีโอเพิ่มและเพิ่มธีมการค้นหาเกี่ยวกับ “ทรง/โอกาสใช้งาน” ผลคือ ROAS รวมดีขึ้นต่อเนื่อง 6 สัปดาห์
  • B2B SaaS: วัด MQL คุณภาพจริง (ผ่าน HubSpot/CRM) เป็น Primary Conversion, ใช้ Negative lists กันคำ “ฟรี/เปิดซอร์ส” และใช้ Final URL Expansion ตัดหน้าบล็อกทั่วไปที่ไม่คอนเวิร์ต เหลือแต่เพจ Use-case/Case Study ทำให้ tCPA ลดลงชัดเจน

สรุป: ปี 2026 เราไม่ได้เล่นกับ “กล่องดำ” แล้ว แต่คือการเอารีพอร์ตใหม่ (โดยเฉพาะ Channel-level และ Asset Group) + คอนโทรลสำคัญ (Negative lists, Search Themes, Exclusions, Final URL controls) มาร้อยเข้ากับเวิร์กโฟลว์ออปติไมซ์รายสัปดาห์/รายเดือนอย่างมีวินัย คุณจะได้ผลลัพธ์ที่ไต่ขึ้นเรื่อย ๆ แบบ incremental gains โดยไม่ต้องพึ่งทริคเสี่ยง ๆ และยังคุมแบรนด์/งบ/คุณภาพลีดได้แน่นกว่าเดิมด้วย

Leave a Reply